วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2562

บันทึก...เริ่มเรียนภาษาจีนที่ซือต้า

หลังจากว่างนอนเล่นนั่งเล่น ไปโน่นมานี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลมากนัก ก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนจริงๆแล้ววววว

2 ธันวาคม 2562

หกโมงเช้า....นาฬิกาปลุกทำหน้าที่ได้ตรงเวลามาก กระชากผมขึ้นมาจากการหลับไหล วันนี้แล้วสินะ ที่เราจะต้องมาลุ้นกับเพื่อนใหม่และครูคนใหม่

หลังจากทำธุระส่วนตัวและหุงข้าวเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปมหาลัย ที่เรียนของผมเรียกว่า Mandarin Training Center ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยครูไต้หวัน หรือ NTNU หรือ ซือต้าที่คนไทยเรียกกัน

หลังจากนั่งรถไฟฟ้า 11 สถานี แล้วเดินอีกนิดหน่อย ก็มาถึงมหาวิทยาลัย มองดูนาฬิกาแล้วเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มเรียน เมื่อไปถึงห้องเรียนก็รู้ตัวเลยว่า ผมเป็นนักเรียนคนแรกที่มาถึงห้องนี้

คอร์สที่ผมเรียนเป็นคอร์สธรรมดา เพราะคอร์สเร่งรัดค่อนข้างแพง ห้องเรียนที่ผมเรียนมีเพื่อนร่วมชั้นอยู่ 9 คน รวมผมด้วยก็เป็นสิบคน ถือว่ากำลังดีไม่อึดอัด ผมจำชื่อเพื่อนร่วมห้องไม่ได้ซักคน แต่ที่จำได้คือ มีชาวเวียดนามปาแล้วครึ่งห้อง คือ 5 คน มีคุณน้าชาวญี่ปุ่น 1 คน มาจากเกาะมาแชลล์ 1 คน อินโด 1 เกาหลีใต้ 1 และผมที่เป็นคนไทยคนเดียวในห้อง ในสิบคนนี้มีผมและคุณน้าชาวญี่ปุ่นสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย นอกนั้นเป็นผู้หญิงหมด ใช้เวลาเรียนประมาณสองชั่วโมง ตั้งแต่แปดโมงเช้าแล้วไปจบเอาตอนสิบโมง

เอาจริงๆก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีคนไทยมาร่วมห้องมั้ย แต่ไม่มีก็ดีไปอีกแบบเพราะตอนเรียนไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย

ส่วนอาจารย์เป็นผู้หญิงอายุน่าจะประมาณ 50 ได้ ชื่ออาจารย์ก็จำไม่ได้อีกแหละ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์แนะนำตัวเองมั้ย 5555 ด้วยความที่เพิ่งเรียนวันแรกเลยยังไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาไม้ไหน ขอรอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า

เริ่มเรียนวันแรก อาจารย์ให้แนะนำตัวกันก่อน สิ่งที่ผมเห็นคือทุกคน ย้ำว่าทุกคน มีชื่อจีนกันหมดแล้ว แม้กระทั่งนักเรียนที่มาจากเกาะมาร์แชลล์(ไม่ใช่ลำโพงนะ) หน้าตานี่ไม่ใช่หน้าจีนก็ยังมีชื่อจีนกะเขา คนญี่ปุ่นนี่เข้าใจได้ว่าเป็นชื่อที่มาจากคันจิ เวียดนามก็เคยได้ยินว่าในภาษาเวียดนามก็มีตัวจีนใช้กัน ก็อาจจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีชื่อจีน เกาหลีก็เช่นกัน อินโดนี่ไม่แน่ใจแฮะ แต่อินโดไม่ใช้ตัวจีนอันนี้ผมยืนยันได้ 5555

ผมเลยกลายเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่มีชื่อจีน นี่นึกถึงตอนเรียนที่จงหัวเลย หลังจากนั้นอาจารย์ก็เอากระดาษที่มีคำจีนที่ระบุเป็นชื่อของแต่ละคนให้คนๆนั้นเขียน ส่วนของผมอาจารย์บอกว่าถ้ายังไม่มีชื่อจีน เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจารย์ตั้งให้ 55555 ผมนี่รอดูเลยว่าอาจารย์จะตั้งให้ว่าอะไร ฉี่เฉียงเฉียง ฉี่เฉี่ยวหัวอะไรนี่ไม่เอานะจารย์

ในการถามนักเรียน อาจารย์จะใช้ภาษาจีนเป็นหลัก ซึ่งฟังง่ายมาก อาจารย์พูดช้าและชัดเจนดีมาก ภาษาอังกฤษอาจารย์แทบไม่ได้พูดเลย ที่ผมประหลาดใจคือ นักเรียนเวียดนามกว่าครึ่งห้องนั้นใช้ภาษาจีนได้ระดับหนึ่งเลย คือดีกว่าผมอ่ะ ของผมนั้นอาจารย์ถามผมเป็นภาษาจีน แต่ปัญหาคือ ฟังคำถามเข้าใจนะ แต่ไม่รู้จะตอบอาจารย์ยังไง เลยตอบอาจารย์เป็นภาษาอังกฤษแทน

การเรียนวันแรก อาจารย์เน้นให้ฝึกออกเสียง คล้ายๆกับตอนที่เรียนที่จงหัว แน่นอนว่าผมซึ่งมีพื้นฐานมาบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร เว้นแต่มีอยู่สามเสียงที่ผมติดปัญหา อันนี้เป็นปัญหาตั้งแต่ตอนเรียนที่จงหัวแล้ว ออกเสียงนี้ทีไรมีปัญหาทุกที คือเสียง ㄗ , ㄘ ,  หรือ จือ , ชือ , ซือ ออกเสียงแบบไม่อ้าปากอ่ะ เข้าใจอยู่ใช่มั้ย อาจารย์ใจดีพอสมควร คือไม่ดุ ไม่เร่ง ผมออกเสียงไม่ได้ อาจารย์ก็เน้นสอนจนรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจมากขึ้น ดีขึ้น ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ที่ผมออกเสียงผิด เพราะไปเอาตัวอังกฤษเป็นหลัก คือไอ้ตัว จือ ชือ ซือ เนี่ย เขาเทียบเป็น Z C S ออกเสียงตามนี้มันก็ไม่ได้ซักที ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้หายโง่ 55555

นอกนั้นก็เป็นการเรียนบทที่หนึ่ง คำศัพท์แบบง่ายๆ เช่น ฮวนอิ๋ง = ยินดีต้อนรับ ไหล = มา เซียนเชิง = คุณผู้ชาย เสี่ยวเจี๋ย = คุณผู้หญิง อะไรประมาณนี้

เรื่องการเรียกชื่อแบบจีน อันนี้ก็ไปเถียงกับอาจารย์ เพราะอาจารย์สอนคำว่า "เซียนเชิง" แล้วก็เรียกชื่อ แต่อาจารย์เรียกผมว่า "มุ่งมาจนเซียนเชิง" ผมก็เถียงไปบอกว่า อาจารย์ผมชื่อปานนี้นะครับ อาจารย์ก็ถามว่าแล้วที่ไทยเรียกยังไง ผมก็บอกว่าที่ไทยก็เรียกว่าปานนี้ อาจารย์ก็บอกว่าแต่ที่จีนเขาเรียกนามสกุลนะ ผมก็บอกแต่นามสกุลผมมันยาวไงจารย์ เรียกปานนี้ไม่ได้เหรอ เถียงไปก็งงไป 55555 แต่สุดท้ายคืออาจารย์เขาพูดถูกครับ คือถ้าเซียนเชิงมันต้องเรียกกับนามสกุล หรือ แซ่ แบบที่บ้านเราชอบใช้กัน ที่จีนเขาเป็นแบบนี้ เรามันคนไทยไง ไม่มีใครเขาเรียกนามสกุลกันหรอก ถ้าเรียกนามสกุลนะ เผลอๆเจ้าตัวเดินมาถึงตัวแล้วยังพูดนามสกุลไม่จบเลย 55555

ที่นี่เรียนสองชั่วโมงครับ แต่ถ้าคอร์สเร่งรัดเรียนกันสามชั่วโมง ที่ไต้หวันเท่าที่อ่านมา ชั่วโมงเรียนประมาณนี้ตลอด แล้วพอครบหนึ่งชั่วโมงก็จะพัก 10 นาที 

พอเรียนเสร็จ ด้วยความที่ผมเรียนคอร์สธรรมดา จึงถูกบังคับให้เข้าเรียนวิชาเพิ่มเติม เพื่อให้ชั่วโมงเรียนครบตามหลักสูตร ซึ่งอันนี้มีผลต่อการขอต่อวีซ่านักเรียน ผมเลือกเรียนวิชาการออกเสียงและพินอิน คือที่นี่ไม่ได้สอนจู้อินนะครับ สอนพินอิน (แล้วจู้อินที่ตรูเรียนตอนอยู่ที่จงหัวล่ะ!!! ไหนบอกไต้หวันไม่ใช้พินอินงายยยยยย) เท่ากับว่าผมต้องมาเริ่มพินอินใหม่ครับ แต่พินอินสำหรับผมไม่ยาก เพราะมันเป็นตัวอักษรอังกฤษ วรรณยุกต์ก็เหมือนจู้อิน อ่านแปปเดียวก็รู้แล้ว

ในห้องเรียนวิชาเพิ่มเติมนี้ เป็นห้องเรียนใหญ่ครับ ซึ่งจะไม่ได้มีแค่นักเรียนร่วมห้องแล้ว แต่จะมีนักเรียนห้องอื่นๆมาร่วมเรียนด้วย ห้องนี้ใช้เวลาเรียนสองชั่วโมง เป็นสองชั่วโมงที่ไม่มีพักเบรคเลย!!!

ในห้องเรียนวันนี้ อาจารย์จะเน้นการออกเสียงให้ถูกต้องตามโทนเสียง ซึ่งมีอยู่สี่เสียง คือ ตา ต๋า ต่า ต้า ผมสังเกตว่าผู้หญิงที่นั่งข้างผมในห้องเรียนนี้ ออกเสียงว่า ตา ต่า ต้า ต๊า ต๋า 5555 รู้เลย คนไทยแน่นอน เพราะตอนตัวเองเริ่มเรียนที่จงหัว ก็มีปัญหาเรื่องการผันวรรณยุกต์ เพราะมักจะสับสนระหว่างภาษาไทย กับ ภาษาจีน ระหว่างนี้อาจารย์ก็จะขอให้นักเรียนขึ้นมาเขียนบนกระดาน แล้วทำกิจกรรม โดยมีลูกอมมาล่อเป็นรางวัล 55555 ผมไม่ได้ไปร่วมนะ เพราะผมไม่แม่นพินอิน (ตอนนี้จู้อินก็ลืมๆบ้างอีกกกก) 

คลาสนี้ ด้วยความที่เรียนติดต่อกันจากคลาสแรก ทำให้ทั้งง่วงและหิวข้าวมากกกกก เพราะตอนเช้าไม่ได้กินอะไรรองท้องเลย สมาธิก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือก็ดูมือถือเพื่อมองนาฬิกาเป็นระยะๆ แต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้สำหรับวันแรก ถือว่าไม่แย่เลย รอดูว่าจบคอร์สสามเดือนจะมีพัฒนาการอะไรขึ้นมาบ้างมั้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น