วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

นั่งรถเมล์ไปคริสมาสแลนด์...ไหนว่าสวยไง!!!

ผมเรียนภาษาจีนที่ซือต้ามาได้เกือบเดือนแล้ว ทักษะก็ถือว่าก้าวหน้าอยู่นะ แต่ความก้าวหน้าของผมกับของคนอื่นอาจจะยึดต่างกันก็ได้ ของผมแค่อ่านตัวจีนได้เพิ่มนิดนึง หรือแค่เข้าใจประโยคเพิ่มนิดนึงก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว เพราะผมเทียบว่าจากศูนย์ จากไม่รู้อะไรเลยแต่เรารู้มากกว่าเดิมก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว

เดือนธันวาคมถือเป็นเดือนของการเฉลิมฉลอง เพราะมีสองเทศกาลอยู่ในเดือนเดียวกัน คือคริสมาส และปีใหม่ คราวนี้ที่ไปที่มาของการไปที่นี่คือ เหล่าซือถามบรรดานักเรียนว่า คริสมาสไปเที่ยวที่ไหน พวกแก๊งเด็กเวียดนามก็ตอบว่าไปที่ปันเฉียว มีเทศกาลคริสมาส สวยงามมาก คนเยอะนู่นนี่นั่น เหล่าซือก็เสริม บอกเออ...ใช่ ที่ปันเฉียวมีเทศกาสคริสมาส มีต้นคริสมาสใหญ่ๆน่าลองไปดูนะ 

ส่วนผมคริสมาสไปไหนนั่นเหรอ ไม่ได้ไปไหนเลย เพราะไปเรียนกลับมาก็ครึ่งวันแล้ว ตอนเย็นไปปั่นจักรยานอีก กลับมามาคัดจีนอ่านหนังสืออีก ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่วันนี้(วันที่ 27 ธันวาคม)เป็นวันศุกร์ หลังเคลียร์งานเหล่าซือและคัดจีนเสร็จก็คิดถึงการไซโคของเหล่าซือและแก๊งเด็กเวียดนาม แล้วก็นึกได้ว่าไอ้ปันเฉียวเนี่ยเราเห็นบ่อยๆจากป้ายบนรถเมล์ งี้เราก็นั่งจากบ้านไปที่ปันเฉียวได้เลยอ่ะดิ ไม่ต้องไปนั่งรถไฟฟ้า 

คิดได้แบบนั้นก็เลยตัดสินใจ เอาวะ....ไปก็ไป อย่างน้อยก็ถือว่าได้นั่งรถเมล์เที่ยว


เริ่มจากป้ายรถเมล์หน้าบ้านเลย บ้านผมถือว่าทำเลดีมาก นอกจากใกล้ที่จอดจักรยาน Ubike แล้ว เดินมานิดเดียวก็เจอป้ายรถเมล์อีก ตัวป้ายรถเมล์จะมีบอกว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง ด้วยความที่ที่นี่ไม่ใช่ถนนใหญ่ รถเมล์เลยผ่านอยู่ไม่กี่สาย หนึ่งในนั้นคือสาย 264 หลู่โจว-ปันเฉียว


นอกจากบอกว่าสายไหนผ่านบ้าง ทุกป้ายรถเมล์ในไต้หวันจะมีป้ายที่บอกว่าแต่ละสายนั้นจอดที่ไหนบ้าง เป็นป้ายกลมๆให้เราหมุนอ่านแบบนี้ โดยป้ายนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาจีน มีภาษาอังกฤษเฉพาะป้ายที่สำคัญๆเท่านั้น เช่นป้ายรถเมล์ที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเป็นต้น


ด้วยการเรียนภาษาจีนมาเกือบเดือน ทำให้ผมพออ่านตัวจีนออก แล้วพอรู้ว่าจะไปที่ไหน(ขอบคุณซือต้ามากครับ) เรียนมาเกือบเดือนก็สามารถอ่านป้ายรถเมล์ออกได้ แต่ไม่ทุกตัวนะ พอดูได้คร่าวๆ อย่างที่นิ้วผมชี้ เราจะลงป้าย "ปันเฉียวเชอจ้าน" กัน



นี่บรรยากาศแถวที่พักครับ ตรงนี้คือถนนหมินจู แถวนี้มีตึกแถวร้านค้าเยอะมากๆ ส่วนชั้นบนก็เป็นที่พักอาศัย


รออยู่สักพักรถเมล์สาย 264 ก็มา



ภายในรถเมล์ รถเมล์ไทเปต้องแตะบัตรทั้งขึ้นและลงนะครับ แต่ไม่จำเป็นว่าต้องขึ้นประตูหน้าลงประตูหลังแบบสิงคโปร์ ที่นี่ขึ้นประตูไหนก็ได้ แต่ถ้าไม่มีบัตรก็ไปหยอดเหรียญที่ข้างคนขับ ที่กรุงเทพพยายามจะใช้ระบบนี้แต่ล้มเหลว แล้วอ้างว่ากว่าจะแตะบัตรกว่าจะหยอดเหรียญ เสียเวลา ใช้เวลานานต้องต่อคิว แต่ทำไมที่อื่นเขาทำได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พอมาบ้านเราเออ...ทำไม่ได้แฮะ ต้องใช้กระเป๋ารถเมล์เหมือนเดิม ผมว่าไอเดียของผู้บริหารขสมก.เรื่องลดกระเป๋ารถเมล์ แล้วใช้ระบบหยอดเหรียญแตะบัตรแบบนี้ดีนะ(เฉพาะเรื่องนี้) แต่คนต้องปรับตัว แต่วิสัยของคนไทย(บางส่วน) ไม่ยอมปรับตัว แถมด่าอีก ก็จมกับระบบรถเมล์ห่วยๆแบบนี้ต่อไปแล้วกัน


รถเมล์ที่ไทเปและนิวไทเปบางคันจะมีจอแบบนี้คอยบอกครับว่าป้ายรถเมล์แต่ละป้ายจะใช้เวลากี่นาที แต่ที่มีทุกคันคือเสียงประกาศในรถเมล์ว่าป้ายหน้าคือป้ายไหน อันนี้ก็ดีมากๆ แต่ป้ายนี้ไม่มีภาษาอังกฤษนะครับ จีนล้วนๆ


สะพานข้ามฝั่งจากไทเปข้ามฝั่งไปยังนิวไทเป


หลังจากนั่งรถมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ป้ายรถเมล์นี้คือป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟปันเฉียว เราต้องเดินข้ามถนนไปอีกทีหนึ่ง


ก่อนข้ามถนนขอแวะเซเว่นก่อน หิวน้ำมากกกกกก


ระหว่างที่เดินข้ามถนนมองไปแล้วก็รู้สึกว่า เออ...บ้านเมืองมันสวยดีนะ ถนนก็โล่ง ดูสะอาดสะอ้าน ตึกรามบ้านช่องก็ดูสวยงามไปหมด


ข้ามถนนมาก็เจอนี่ก่อนเลยครับ สวนสาธารณะหน้าสถานีรถไฟ ตรงนี้ก็มีการจัดกิจกรรมคริสมาสเหมือนกัน ตึกที่เห็นนี่ด้านล่างคือสถานีรถไฟปันเฉียวเป็นทั้งสถานีรถไฟ สถานีรถไฟความเร็วสูง และสถานีรถไฟฟ้าในอาคารเดียวกัน ถือเป็นสถานีใหญ่สถานีหนึ่งเลย




นอกจากมีต้นคริสมาสแล้วก็มีที่ให้เด็กๆมาปีนป่ายเล่น แล้วก็มีร้านค้ามาเปิดบูทกัน


เดินเลาะๆมาที่สถานีรถไฟปันเฉียว

ระหว่างที่เดินจากสถานีรถไฟไปที่คริสมาสแลนด์ ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย เพราะมัวแต่ดูแผนที่อยู่ ตานี่ก้มมองกูเกิ้ลแมพแทบจะตลอด เพราะไม่เคยมาแถวนี้เลย ระหว่างทาง ด้วยความที่แถวนี้รถเยอะมาก เยอะกว่าในตัวกรุงไทเปอีก ระหว่างทางม้าลายก็จะมีตำรวจมาคอยอำนวยความสะดวก คอยกันรถให้อะไรประมาณนั้น ผมเห็นตำรวจถี่มาก แถวหลู่โจวที่ผมอยู่นี่แทบไม่เจอตำรวจเลย 55555




พอใกล้จะถึง"คริสมาสแลนด์" ก็เริ่มเห็นกระประดับไฟที่หนาตาขึ้น


ในที่สุดก็มาถึงแล้ว เอาจริงๆผิดจากที่ผมคาดไว้มากกกก คงเพราะผมหาข้อมูลไม่ดีพอเอง คือตอนแรกเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นห้าง หรือลานกิจกรรมซักอย่าง แต่ปรากฎว่า ตรงที่ตั้งนี้คือ"ศาลากลางนครนิวไทเป" พอเห็นคนอื่นเดินเข้าไปก็เลยเดินงงๆเข้าไปกับเขาด้วย


ตัวอาคารศาลากลาง


เข้ามาจะเจอจุดถ่ายรูปก่อนเลย โซนนี้เด็กๆจะชอบเป็นพิเศษ นอกจากนี้โดยรอบก็มีนิทรรศการอีกนิดหน่อย ซึ่งผมเห็นว่าไม่น่าสนใจเลยไม่ได้ถ่ายรูปมา


ขณะที่กำลังงงๆว่าไอ้คริสมาสแลนด์เนี่ยมันมีอะไร ก็ลองเดินมาเรื่อยๆจนพบว่ามันเป็นทางเดินมาที่ลานกว้างหลังสำนักงาน เมื่อเข้ามาก็เห็นว่า มีการประดับไฟ มีการออกร้านค้า แล้วก็มีเครื่องเล่นนิดหน่อย


ห้าโมงเย็นที่นี่คือพระอาทิตย์ตกแล้ว เริ่มมืดแล้ว



เด็กๆและพ่อแม่ พากันต่อคิวรอเล่นเครื่องเล่น


ม้าหมุนก็มา



ตรงนี้คือบูธร้านค้า ร้านค้าที่มาออกบูธมีไม่ค่อยเยอะเลย เท่าที่เห็นก็พวกเสื้อผ้าสองสามร้าน มีร้านขายไข่ไก่ แล้วก็ร้านขายพวกสินค้าอุปโภคเช่น สบู่ แชมพู ร้านหนังสือ ร้านของเล่นนิดหน่อย แล้วดูเงียบเหงามาก อาจจะเป็นเพราะผมมาหลังวันคริสมาสไปแล้วก็ได้ สำหรับผมมันดูเฉยๆมากกกกก

หลังจากเดินเล่นนั่งเล่นรอจนมืดค่ำ เดาว่าน่าจะเป็นไฮไลท์ของงานคือมีการยิงภาพไปที่ตึกศาลากลาง กับต้นคริสมาสเปลี่ยนสี




ต้นคริสมาสเปลี่ยนเป็นรูปภาพต่างๆ




เดินๆเล่นเห็นกระป๋องมันดูสวยดี เลยลองซื้อมาหนึ่งกระป๋อง กระป๋องนี้กินๆไปนี่มันแฟนต้าดีๆนี่เอง

หลังจากเดินเล่นอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เดินกลับไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าสถานีปันเฉียว





ระหว่างเดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์ พอมาถึงป้ายรถเมล์ ผมรอรถสายเดิม 264 กะว่าจะนั่งกลับ พอรถเมล์มาถึงก็ขึ้นรถไปตามปกติ


คนในรถค่อนข้างเยอะ ผมยืนเกือบตลอดทาง ปรากฎว่า รถสาย 264 ขาไปมันผ่านป้ายรถเมล์หน้าบ้าน แต่ขากลับมันไม่ผ่าน รถอ้อมข้ามซอยบ้านผมไปซะแบบนั้น โผล่อีกทีตรงหน้าสถานีรถไฟฟ้าหลู่โจว สถานีสุดสายสีเหลือง ผมเลยลงรถที่นั่น แล้วปั่นจักรยาน Ubike จากที่นั่นกลับห้องแทน ถือว่ายังดีที่แถวนั้นมีจักรยาน ถ้าไม่มีจักรยาน ผมเดินกลับไกลแน่ๆ ถือว่าเป็นการนั่งรถเมล์เล่นที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ส่วนคริสมาสแลนด์ผมว่าแถวเซ็นทรัลเวิลด์บ้านเรานี่ยังดูดีกว่าอีกนะ






วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2562

บันทึก...เริ่มเรียนภาษาจีนที่ซือต้า

หลังจากว่างนอนเล่นนั่งเล่น ไปโน่นมานี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลมากนัก ก็ถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนจริงๆแล้ววววว

2 ธันวาคม 2562

หกโมงเช้า....นาฬิกาปลุกทำหน้าที่ได้ตรงเวลามาก กระชากผมขึ้นมาจากการหลับไหล วันนี้แล้วสินะ ที่เราจะต้องมาลุ้นกับเพื่อนใหม่และครูคนใหม่

หลังจากทำธุระส่วนตัวและหุงข้าวเรียบร้อย ก็ออกเดินทางไปมหาลัย ที่เรียนของผมเรียกว่า Mandarin Training Center ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยครูไต้หวัน หรือ NTNU หรือ ซือต้าที่คนไทยเรียกกัน

หลังจากนั่งรถไฟฟ้า 11 สถานี แล้วเดินอีกนิดหน่อย ก็มาถึงมหาวิทยาลัย มองดูนาฬิกาแล้วเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มเรียน เมื่อไปถึงห้องเรียนก็รู้ตัวเลยว่า ผมเป็นนักเรียนคนแรกที่มาถึงห้องนี้

คอร์สที่ผมเรียนเป็นคอร์สธรรมดา เพราะคอร์สเร่งรัดค่อนข้างแพง ห้องเรียนที่ผมเรียนมีเพื่อนร่วมชั้นอยู่ 9 คน รวมผมด้วยก็เป็นสิบคน ถือว่ากำลังดีไม่อึดอัด ผมจำชื่อเพื่อนร่วมห้องไม่ได้ซักคน แต่ที่จำได้คือ มีชาวเวียดนามปาแล้วครึ่งห้อง คือ 5 คน มีคุณน้าชาวญี่ปุ่น 1 คน มาจากเกาะมาแชลล์ 1 คน อินโด 1 เกาหลีใต้ 1 และผมที่เป็นคนไทยคนเดียวในห้อง ในสิบคนนี้มีผมและคุณน้าชาวญี่ปุ่นสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย นอกนั้นเป็นผู้หญิงหมด ใช้เวลาเรียนประมาณสองชั่วโมง ตั้งแต่แปดโมงเช้าแล้วไปจบเอาตอนสิบโมง

เอาจริงๆก็ลุ้นอยู่ว่าจะมีคนไทยมาร่วมห้องมั้ย แต่ไม่มีก็ดีไปอีกแบบเพราะตอนเรียนไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย

ส่วนอาจารย์เป็นผู้หญิงอายุน่าจะประมาณ 50 ได้ ชื่ออาจารย์ก็จำไม่ได้อีกแหละ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์แนะนำตัวเองมั้ย 5555 ด้วยความที่เพิ่งเรียนวันแรกเลยยังไม่รู้ว่าอาจารย์จะมาไม้ไหน ขอรอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า

เริ่มเรียนวันแรก อาจารย์ให้แนะนำตัวกันก่อน สิ่งที่ผมเห็นคือทุกคน ย้ำว่าทุกคน มีชื่อจีนกันหมดแล้ว แม้กระทั่งนักเรียนที่มาจากเกาะมาร์แชลล์(ไม่ใช่ลำโพงนะ) หน้าตานี่ไม่ใช่หน้าจีนก็ยังมีชื่อจีนกะเขา คนญี่ปุ่นนี่เข้าใจได้ว่าเป็นชื่อที่มาจากคันจิ เวียดนามก็เคยได้ยินว่าในภาษาเวียดนามก็มีตัวจีนใช้กัน ก็อาจจะเป็นไปได้ที่พวกเขาจะมีชื่อจีน เกาหลีก็เช่นกัน อินโดนี่ไม่แน่ใจแฮะ แต่อินโดไม่ใช้ตัวจีนอันนี้ผมยืนยันได้ 5555

ผมเลยกลายเป็นคนเดียวในห้องที่ไม่มีชื่อจีน นี่นึกถึงตอนเรียนที่จงหัวเลย หลังจากนั้นอาจารย์ก็เอากระดาษที่มีคำจีนที่ระบุเป็นชื่อของแต่ละคนให้คนๆนั้นเขียน ส่วนของผมอาจารย์บอกว่าถ้ายังไม่มีชื่อจีน เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจารย์ตั้งให้ 55555 ผมนี่รอดูเลยว่าอาจารย์จะตั้งให้ว่าอะไร ฉี่เฉียงเฉียง ฉี่เฉี่ยวหัวอะไรนี่ไม่เอานะจารย์

ในการถามนักเรียน อาจารย์จะใช้ภาษาจีนเป็นหลัก ซึ่งฟังง่ายมาก อาจารย์พูดช้าและชัดเจนดีมาก ภาษาอังกฤษอาจารย์แทบไม่ได้พูดเลย ที่ผมประหลาดใจคือ นักเรียนเวียดนามกว่าครึ่งห้องนั้นใช้ภาษาจีนได้ระดับหนึ่งเลย คือดีกว่าผมอ่ะ ของผมนั้นอาจารย์ถามผมเป็นภาษาจีน แต่ปัญหาคือ ฟังคำถามเข้าใจนะ แต่ไม่รู้จะตอบอาจารย์ยังไง เลยตอบอาจารย์เป็นภาษาอังกฤษแทน

การเรียนวันแรก อาจารย์เน้นให้ฝึกออกเสียง คล้ายๆกับตอนที่เรียนที่จงหัว แน่นอนว่าผมซึ่งมีพื้นฐานมาบ้างก็ไม่มีปัญหาอะไร เว้นแต่มีอยู่สามเสียงที่ผมติดปัญหา อันนี้เป็นปัญหาตั้งแต่ตอนเรียนที่จงหัวแล้ว ออกเสียงนี้ทีไรมีปัญหาทุกที คือเสียง ㄗ , ㄘ ,  หรือ จือ , ชือ , ซือ ออกเสียงแบบไม่อ้าปากอ่ะ เข้าใจอยู่ใช่มั้ย อาจารย์ใจดีพอสมควร คือไม่ดุ ไม่เร่ง ผมออกเสียงไม่ได้ อาจารย์ก็เน้นสอนจนรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจมากขึ้น ดีขึ้น ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ที่ผมออกเสียงผิด เพราะไปเอาตัวอังกฤษเป็นหลัก คือไอ้ตัว จือ ชือ ซือ เนี่ย เขาเทียบเป็น Z C S ออกเสียงตามนี้มันก็ไม่ได้ซักที ขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้หายโง่ 55555

นอกนั้นก็เป็นการเรียนบทที่หนึ่ง คำศัพท์แบบง่ายๆ เช่น ฮวนอิ๋ง = ยินดีต้อนรับ ไหล = มา เซียนเชิง = คุณผู้ชาย เสี่ยวเจี๋ย = คุณผู้หญิง อะไรประมาณนี้

เรื่องการเรียกชื่อแบบจีน อันนี้ก็ไปเถียงกับอาจารย์ เพราะอาจารย์สอนคำว่า "เซียนเชิง" แล้วก็เรียกชื่อ แต่อาจารย์เรียกผมว่า "มุ่งมาจนเซียนเชิง" ผมก็เถียงไปบอกว่า อาจารย์ผมชื่อปานนี้นะครับ อาจารย์ก็ถามว่าแล้วที่ไทยเรียกยังไง ผมก็บอกว่าที่ไทยก็เรียกว่าปานนี้ อาจารย์ก็บอกว่าแต่ที่จีนเขาเรียกนามสกุลนะ ผมก็บอกแต่นามสกุลผมมันยาวไงจารย์ เรียกปานนี้ไม่ได้เหรอ เถียงไปก็งงไป 55555 แต่สุดท้ายคืออาจารย์เขาพูดถูกครับ คือถ้าเซียนเชิงมันต้องเรียกกับนามสกุล หรือ แซ่ แบบที่บ้านเราชอบใช้กัน ที่จีนเขาเป็นแบบนี้ เรามันคนไทยไง ไม่มีใครเขาเรียกนามสกุลกันหรอก ถ้าเรียกนามสกุลนะ เผลอๆเจ้าตัวเดินมาถึงตัวแล้วยังพูดนามสกุลไม่จบเลย 55555

ที่นี่เรียนสองชั่วโมงครับ แต่ถ้าคอร์สเร่งรัดเรียนกันสามชั่วโมง ที่ไต้หวันเท่าที่อ่านมา ชั่วโมงเรียนประมาณนี้ตลอด แล้วพอครบหนึ่งชั่วโมงก็จะพัก 10 นาที 

พอเรียนเสร็จ ด้วยความที่ผมเรียนคอร์สธรรมดา จึงถูกบังคับให้เข้าเรียนวิชาเพิ่มเติม เพื่อให้ชั่วโมงเรียนครบตามหลักสูตร ซึ่งอันนี้มีผลต่อการขอต่อวีซ่านักเรียน ผมเลือกเรียนวิชาการออกเสียงและพินอิน คือที่นี่ไม่ได้สอนจู้อินนะครับ สอนพินอิน (แล้วจู้อินที่ตรูเรียนตอนอยู่ที่จงหัวล่ะ!!! ไหนบอกไต้หวันไม่ใช้พินอินงายยยยยย) เท่ากับว่าผมต้องมาเริ่มพินอินใหม่ครับ แต่พินอินสำหรับผมไม่ยาก เพราะมันเป็นตัวอักษรอังกฤษ วรรณยุกต์ก็เหมือนจู้อิน อ่านแปปเดียวก็รู้แล้ว

ในห้องเรียนวิชาเพิ่มเติมนี้ เป็นห้องเรียนใหญ่ครับ ซึ่งจะไม่ได้มีแค่นักเรียนร่วมห้องแล้ว แต่จะมีนักเรียนห้องอื่นๆมาร่วมเรียนด้วย ห้องนี้ใช้เวลาเรียนสองชั่วโมง เป็นสองชั่วโมงที่ไม่มีพักเบรคเลย!!!

ในห้องเรียนวันนี้ อาจารย์จะเน้นการออกเสียงให้ถูกต้องตามโทนเสียง ซึ่งมีอยู่สี่เสียง คือ ตา ต๋า ต่า ต้า ผมสังเกตว่าผู้หญิงที่นั่งข้างผมในห้องเรียนนี้ ออกเสียงว่า ตา ต่า ต้า ต๊า ต๋า 5555 รู้เลย คนไทยแน่นอน เพราะตอนตัวเองเริ่มเรียนที่จงหัว ก็มีปัญหาเรื่องการผันวรรณยุกต์ เพราะมักจะสับสนระหว่างภาษาไทย กับ ภาษาจีน ระหว่างนี้อาจารย์ก็จะขอให้นักเรียนขึ้นมาเขียนบนกระดาน แล้วทำกิจกรรม โดยมีลูกอมมาล่อเป็นรางวัล 55555 ผมไม่ได้ไปร่วมนะ เพราะผมไม่แม่นพินอิน (ตอนนี้จู้อินก็ลืมๆบ้างอีกกกก) 

คลาสนี้ ด้วยความที่เรียนติดต่อกันจากคลาสแรก ทำให้ทั้งง่วงและหิวข้าวมากกกกก เพราะตอนเช้าไม่ได้กินอะไรรองท้องเลย สมาธิก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มือก็ดูมือถือเพื่อมองนาฬิกาเป็นระยะๆ แต่ในที่สุดก็ผ่านมาได้สำหรับวันแรก ถือว่าไม่แย่เลย รอดูว่าจบคอร์สสามเดือนจะมีพัฒนาการอะไรขึ้นมาบ้างมั้ย