วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2563

เที่ยวเขื่อนสือเหมิน แหล่งเก็บน้ำสำคัญของภาคเหนือไต้หวัน

 ช่วงที่ผ่านมาไต้หวันมีพายุไต้ฝุ่นฉวัดเฉวียนพัดผ่านไปผ่านมาตลอด ผลที่ตามมาคือมีฝนตกทั่วทั้งเกาะไต้หวัน การที่มีฝนนั้นแม้จะมีข้อเสียคือทำให้ใช้ชีวิตลำบาก เดินทางไม่สะดวก พื้นเฉอะแฉะ เสื้อผ้าไม่แห้ง และอื่นๆ แต่สำหรับที่นี่ การที่มีฝนนั้นหมายถึงว่าไต้หวันจะมีน้ำกักเก็บไว้ใช้เพื่ออุปโภคบริโภค ทำการเกษตร และผลิตกระแสไฟฟ้า 

สำหรับการกักเก็บน้ำนั้น แน่นอนว่าเขื่อนคือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการบริหารจัดการน้ำ ในเกาะไต้หวันก็มีเขื่อนหลายแห่ง แต่หนึ่งในเขื่อนที่สำคัญของไต้หวันก็คือ

เขื่อนสือเหมิน...นี่เอง




เขื่อนสือเหมิน หรือภาษาจีน 石門水庫 สือเหมินสุ่ยคู่ สือเหมินแปลตรงตัวก็แปลว่า"ประตูหิน"

เรามาดูประวัติคร่าวๆกัน เขื่อนนี้ตั้งอยู่ในเขตนครเถาหยวน ห่างจากกรุงไทเปประมาณ 50 กิโลเมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อปี 1955 แล้วเสร็จปี 1964 ก่อสร้างโดยบริษัท Morrison–Knudsen บริษัทเดียวกันกับที่ก่อสร้างเขื่อนฮูเวอร์ที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างการก่อสร้างใช้คนงานถึง 7,500 คน มีผู้เสียชีวิต 24 คน บาดเจ็บ 2,881 คน พิการ 87 คน ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ที่เสียชีวิตจากการก่อสร้างเขื่อน ณ ที่นี้


(รูปบน) เขื่อนสือเหมินเมื่อก่อนเริ่มการก่อสร้าง จากรูปจะเห็นสภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาหินมีลักษณะเหมือนเป็นประตู จึงเป็นที่มาของชื่อเขื่อน

เขื่อนนี้มีความสำคัญในการกักเก็บน้ำโดยน้ำจากอ่างเก็บน้ำของเขื่อนแห่งนี้หล่อเลี้ยงประชาชนในนครเถาหยวน เทศมณฑลซินจู่ และนครนิวไทเป และผลิตไฟฟ้าหล่อเลี้ยงภาคเหนือของไต้หวันทั้งหมด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นกับกรุงไทเปอีกด้วย

สำหรับการเดินทางมาที่เขื่อนนี้ ถ้าเอาสถานีรถไฟไทเป หรือ ไทเปเมนเป็นจุดเริ่มต้นก็ถือว่าเดินทางได้ไม่ยาก

โดยมีสองทางเลือกในการเดินทาง 1.สามารถนั่งรถไฟจากสถานีไทเป ไปลงที่สถานีจงลี่ และ 2.นั่งรถบัสจากสถานีรถไฟไทเป ไปลงที่ท่ารถจงลี่

นั่นหมายความว่า ก่อนจะถึงเขื่อนสือเหมิน จะต้องไปถึงจงลี่ก่อน

จงลี่ คือชื่อเขตที่ตั้งอยู่ในนครเถาหยวน

ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ ผมเลือกที่จะนั่งรถบัส สาเหตุที่เลือกนั่งรถบัส เพราะรถบัสนั่งสบายกว่า และมีความรู้สึกว่าถ้านั่งรถบัสวิวทิวทัศน์ต่างๆมองได้น่าดูกว่าการนั่งรถไฟ


เราเริ่มต้นที่นี่ครับ สถานีรถไฟไทเป หลายคนที่มาไทเป มักจะพูดคล้ายๆกันว่าสถานีนี้กว้างมาก เดินหลงตลอด ผมยอมรับว่าก็หลงอยู่บ่อยๆครับ จำทิศผิดถูกก็บ่อย แต่เดินๆไปเถอะยังไงก็หาทางออกมาได้

เมื่อมาถึงไทเป ให้เดินมาออกทางประตู North 1 หรือจำง่ายๆ ประตูที่มีร้านแมคโดนัลด์ ตรงนั้นแหละครับ เดินออกมาเลย


เมื่อเดินออกมาปั๊บ ก็จะเจอป้ายรถของบริษัทกั๋วกวงตั้งอยู่ หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมไม่ไปขึ้นที่ท่ารถไทเป คือบัสของกั๋วกวงที่ไทเปเมนจะมีจุดขึ้นรถอยู่ 3 จุด จุดแรกคือ Taipei Bus Station อันนี้ตึกใหญ่เลยตรงหลังสถานีรถไฟเดินข้ามถนนไป ตรงนั้นเป็นรถบัสที่วิ่งระยะไกล ไปต่างเมืองเช่นไถจง ฮวาเหลียน อะไรแบบนี้ อีกจุดคือด้านข้างสถานีรถไฟ อันนี้หลายคนน่าจะคุ้นเพราะรถบัสจากสนามบินเถาหยวนและจีหลงจะมาจอดที่นี่ และป้ายนี้จะเป็นรถที่ไปทางเถาหยวน




เดินมาจะเจอรถบัสของกั๋วกวงจอดรอเราอยู่ สำหรับรถที่จะไปจงลี่ นั่งรถสาย 1818 ได้เลย


นี่ครับรถสาย 1818 


ภายในรถบัส ก็ไม่ต่างจากรถบัสบ้านเราเท่าไหร่ ทุกเบาะมีรู USB สำหรับเสียบชาร์จโทรศัพท์ สำหรับรถบัสนี้สามารถใช้บัตร Easycard , iCash จ่ายได้ หรืออย่างผมซึ่งเป็นนักเรียนก็ใช้บัตรนักเรียนจ่าย 55555 ไม่รู้ว่าลดไปกี่บาท ค่ารถจากไทเปไปจงลี่ สนนราคาที่ 81 ดอลล่าร์ไต้หวัน

สำหรับคนที่พะวงเรื่องขึ้นรถลงรถ ว่าจะขึ้นรถผิดมั้ย จะลงถูกป้ายมั้ย จะรู้ได้ไงว่าคันไหนเป็นคันไหน ถ้าอยู่ที่ป้ายรถที่นี่แล้วให้เดินไปที่ป้าย 1818 ไทเป-จงลี่ ซึ่งจะติดด้านบน เขียนทั้งสองภาษาเลยทั้งจีนและอังกฤษ ตัวรถก็เขียนสองภาษา ส่วนกลัวจะลงผิดป้ายอันนี้ไม่ต้องกลัว นั่งรถไปจนสุดสายเลย รถจะจอดที่ท่ารถของกั๋วกวงที่จงลี่ ย้ำว่า บัตรอีซี่การ์ดต้องแตะบัตรทั้งขึ้นรถและลงรถนะ


รถจะพามาจอดที่นี่ ท่ารถจงลี่ของบริษัทกั๋วกวง เมื่อมาถึงจงลี่แล้ว จะมีรถเมล์จากที่จงลี่ไปลงที่เขื่อนสือเหมิน โดยสามารถนั่งรถเมล์สาย 503 ขึ้นที่ป้ายท่ารถของเถาหยวนเค่อยุ่น สาย 5050 และ 5055 ขึ้นที่ป้ายรถเมล์หลังสถานีรถไฟจงลี่

ของผมเลือกที่จะขึ้นรถที่ป้ายหลังสถานีรถไฟ

มีเรื่องที่จะสารภาพ ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจจะมาที่นี่ครั้งนึงแล้ว แต่มาถึงได้แค่จงลี่ เจอฝนตก ความสนุกหายไป ความลำบากมาแทนที่ เลยไปไม่ถึงเขื่อน นั่งรถบัสกลับทันที


ข้างๆท่ารถกั๋วกวง ถ้าเดินออกจากท่ารถแล้วเดินมาทางข้างๆ จะเจอกับตึกนี้ ตึกนี้คือท่ารถของเถาหยวนเค่อยุ่น สามารถนั่งรถเมล์สาย 503 จากที่นี่ไปลงที่เขื่อนสือเหมินได้


เมื่อเดินออกมาจากท่ารถกั๋วกวงบัส เราจะเดินไปที่ป้ายรถเมล์หลังสถานีรถไฟกัน เมื่อเดินออกมาให้หันหลังให้กับตึกท่ารถแล้วเดินตามทางนี้ตรงมาอย่างเดียว


เดินมาก็เจอตึกท่ารถของซินจู่เค่อยุ่น เค่อยุ่นภาษาจีนแปลว่ารถบัส ถ้าเดินตามทาง แล้วหันมาทางซ้ายเจออาคารนี้ถือว่าเดินมาถูกทาง


เดินมาเรื่อยๆจะเจอทางลอดใต้ทางรถไฟแบบนี้อยู่ทางขวามือ เดินลงไปเลยครับ


ด้านในทางลอด มีโฮมเลสปักหลักอยู่ประปราย เมื่อเดินมาสุดทางจะมีสองทาง ซ้ายกับขวา ถ้าเลี้ยวซ้ายคือไปสถานีรถไฟ ส่วนไปป้ายรถเมล์ให้เลี้ยวขวา


ออกมาแล้วให้เดินต่อมาอีกนิดเดียว จะเจอป้ายรถเมล์ป้ายนี้


เรามาดูเส้นทางกันหน่อย สิ่งที่ปวดหัวนิดนึงเวลาดูข้อมูลสายรถเมล์ในไต้หวันคือ ภาษาอังกฤษไม่ค่อยมีเลย น้อยมากกกก สำหรับสองสายนี้ไม่ต้องแคร์มาก คือที่ป้ายนี้คือต้นสาย ส่วนที่ที่เราจะไปคือสุดสาย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะลงผิด

ด้วยความที่สายนี้เป็นสายค่อนข้างยาว ดังนั้น รถจะไม่ได้มีให้ขึ้นตลอดเวลา โดยรถที่จะออกจากจงลี่ไปสือเหมิน จะมาตามเวลาดังนี้ 

สาย 5050 - 6.40/9.10/17.25/18.12/19.45/20.30 

สาย 5055 - 8.05/10.15/13.37/15.47/17.10 ทั้งสองสายบวกลบประมาณ 10-15 นาที ขึ้นกับสภาพการจราจร


เดินมาก็จะเจอกับสองป้ายนี้ 5055 และ 5050 ไปสือเหมินสุ่ยคู่ ด้วยความที่มาถึงจงลี่เร็วไปหน่อย เดินมาถึงป้ายตอนเที่ยงกว่าๆ เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมง ตอนแรกคิดไว้ว่าจะไปเดินเล่นในเมืองรอ แต่ใจนึงก็คิดว่า ถ้าเกิดมันเซอร์ไพรส์มาก่อนเวลาล่ะ รออีกคันนึงนี่นานเลยนะ เลยยอมนั่งรอที่ป้ายรถเมล์ รอไปชั่วโมงกว่า รถเมล์มาเกินจากเวลาที่ระบุในป้ายประมาณ 5 นาทีได้


ภายในรถเมล์ รถเมล์ของไต้หวันก็ไม่ต่างกันมาก แต่ที่พิเศษกว่าคือ จะมีเสียงบอกว่าป้ายต่อไปชื่ออะไร ถ้าได้ยินเสียง แล้วเป็นป้ายที่เราจะลง ก็กดกริ่งรอลงรถได้เลย ซึ่งเสียงประกาศมีทั้งภาษาจีนกลาง อังกฤษ ภาษาไต้หวัน และภาษาฮากกา ค่ารถเมล์จากจงลี่มาที่นี่ตกอยู่ที่ 45 ดอลลาร์ไต้หวัน


นี่ครับ ป้ายที่เราลง 石門車站 สือเหมินเชอจ้าน ความจริงป้ายนี้มันคือป้ายสุดท้าย ก่อนที่รถจะวิ่งกลับไปที่จงลี่ ผมแนะนำว่าดีกว่านี้คือ พอนั่งรถมา รถจะผ่านด่านเก็บเงินเข้าเขื่อน ซึ่งท่านไม่ต้องจ่าย พ้นด่านเก็บเงินก็กดกริ่งลงได้เลย จะได้ถือโอกาสเดินป่าชมต้นไม้ใบหญ้าไปด้วยได้ แล้วเดินมาเรื่อยๆจนมาถึงป้ายนี้ ไม่ต้องเดินย้อนไปย้อนมาแบบผม


นี้คือป้ายรถเมล์ที่ผมลงรถครับ ขากลับไปจงลี่ สามารถขึ้นรถรอที่ป้ายนี้ได้เลย 


เดินจากป้ายรถเมล์มานิดเดียว เจอรูปปั้นขนาดมหึมาของเจียงไคเช็กมารอต้อนรับเลย ส่วนตึกข้างๆที่เห็นนั้นคืออาคารบริการนักท่องเที่ยว


ขอเดินขึ้นไปดูรูปปั้นใกล้ๆ พอเดินมาถึงแล้วก็คิดว่า"นี่กูเดินขึ้นมาทำไม" เหนื่อยก็เหนื่อย ร้อนก็ร้อน ส่วนเจียงไคเช็กเป็นใคร คิดว่าหลายคนก็คงรู้แล้ว คร่าวๆเขาก็คืออดีตผู้นำสาธารณรัฐจีนที่แพ้ท่านประธานเหมาในสงครามกลางเมือง เลยอพยบพาคนจีน ทหารจีนก๊กมินตั๋ง และทรัพย์สินมีค่าต่างๆมากมายมาเกาะไต้หวัน และตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นที่นี่ตั้งแต่ปี 1949 จนถึงปัจจุบัน ไต้หวันก็ยังเป็นสาธารณรัฐจีน ปกครองตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับจีนแผ่นดินใหญ่


รูปที่ถ่ายจากบนรูปปั้นเจียงไคเช็กจะเห็นสันเขื่อน ไม่แน่ใจว่าเรียกถูกมั้ย ส่วนซ้ายมือคืออ่างเก็บน้ำของเขื่อน


คือภาพในหัวของผมเนี่ยตรงนี้มันจะต้องมีน้ำออกมาใช่มั้ย แต่ตอนที่ผมมาเนี่ยไม่มีน้ำออกมาเลย แห้งสนิท


ระหว่างเดินข้ามสันเขื่อนไปอีกฝั่งหนึ่ง อันนี้น่าจะเป็นโรงงานผลิตไฟฟ้านะ เพราะเห็นเสาไฟฟ้าแรงสูงหลายต้นมาก


อีกฝั่งหนึ่งของสันเขื่อน เป็นอ่านเก็บน้ำของเขื่อนสือเหมิน บริเวณอ่างเก็บน้ำมีบริการล่องเรือเที่ยวด้วย แต่พอดีผมงก ไม่อยากจ่ายมาก เลยไม่ได้ใช้บริการ


เมื่อเดินสุดสันเขื่อนแล้วมองย้อนกลับไป


เมื่อเดินมาก็จะเจอกับเขา 嵩台 เพิ่งรู้ว่าอ่านว่า ซงไถ เพราะตอนนั้นอ่านตัวซงไม่ออก อ่านออกแต่ตัวไถ จากการหาในกูเกิ้ล ถ้าเดินขึ้นเขานี้จะสามารถถ่ายรูปทิวทัศน์ที่เขื่อนได้สวยงามมาก


นี่คือรูปที่ถ่ายจากบนเขาซงไถ แดดนี่แรงใช้ได้เลย ตอนนั้นประมาณบ่ายสาม


มาเรามาเดินไปกันต่อ เจอสะพานนี้อีกหนึ่งสะพาน ตอนที่ผมเดินเตร่ที่นี่ มีคนเป่าแซ็กโซโฟนขบกล่อมบรรดาอากงอาม่าที่มาเที่ยวด้วย เดินตลอดทางนี่ได้ยินเสียงแซ็กโซโฟนมาตลอดทางเลย


ระหว่างเดินตรงฟุตบาทก็มาเจอข้อความนี้เข้า อันนี้เป็นเส้นแบ่งเขต หรือถ้าเทียบกับบ้านเราก็คืออำเภอ ระหว่าง 龍潭區 เขตหลงถาน และ 大溪區 เขตต้าชี ทั้งสองเขตอยู่ในนครเถาหยวน


แชะรูปอีกซักรูป เท่าที่อ่าน ตรงนี้คือ After Bay คือน้ำจากอ่างเก็บน้ำถ้าปล่อยมามันก็จะมาลงตรงนี้ น่าจะพูดถูกมั้งเนอะ


อันนี้คือแผนที่ของเขื่อนสือเหมิน จะเห็นว่าบริเวณนี้มีเส้นทางเดินป่าด้วย


พอข้ามสะพานมาแล้ว เหมือนจะรู้ว่าคนที่เดินผ่านสันเขื่อน แล้วมาข้ามสะพานต่อในช่วงบ่ายแก่ๆ ที่มีอากาศร้อนอบอ้าว จะต้องหิวน้ำ อยากกินอะไรเย็นๆ พอเดินข้ามมาได้ปั๊บก็เจอร้านขายน้ำเลย ตรงนี้มีหลายคนมาเป็นครอบครัว ตอนนี้เวลาก็ปาไปเกือบสี่โมงเย็นแล้ว แดดเริ่มลดลงไปมาก มีคุณลุงมาเป่าแซ็ก เพลงต้องสู้ถึงจะชนะให้ฟัง (ได้ยินว่าเพลงนี้เอามาจากเพลงจีนอีกทีใช่มั้ยถ้าจำไม่ผิด)


พอข้ามฝั่งมา บรรยากาศคนละเรื่องเลย ต้นไม้นี่ครึ้มมาก ข้างหน้าที่เห็นคือหอนาฬิกา แล้วก็เป็นป้ายบอกว่าเป็นจุดชมวิวของเขื่อน


ต้นไม้ครึ้มมาก เดินๆไปก็เจออากงอาม่า นั่งคุยกันอยู่บนม้านั่งข้างทาง


มีทางเดินลงไปเดินเล่นด้วย แต่ผมไม่ได้เดินลงไป เพราะตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว กลัวว่าถ้าเอ้อระเหยแบบนี้จะหารถกลับยาก ก็เลยเดินย้อนกลับไปที่ป้ายรถเมล์ป้ายเดิมตอนที่ลงรถมา

ถึงป้ายตอนสี่โมงเย็นนิดๆ สำหรับคนที่จะรอรถเมล์เดินทางกลับจงลี่ โดยจะจอดป้ายสุดท้ายที่ป้ายหลังสถานีรถไฟจงลี่ ป้ายเดียวกันกับที่เราขึ้นรถมา แน่นอนรถเมล์ไม่ได้มีตลอดเวลา 
สาย 5050 รถจะมาจอดที่สือเหมินเวลา 9.45/10.05/18.30/19.10/20.35/21.25
สาย 5055 รถจะมาจอดที่สือเหมินเวลา 6.45/8.00/9.05/14.27/16.37 บวกลบ 10-15 นาที 
ถ้าจะมาเที่ยวก็เผื่อเวลาหน่อยนะครับ

ทริปนี้ของผมจริงๆ เป้าหมายไม่ใช่การมาดูเขื่อน แต่เพราะเห็นว่าเขื่อนมันอยู่ไกลดี อยากหาเรื่องมานั่งรถเล่น ดูทิวทัศน์ ดูตึกรามบ้านช่อง ก็เลยเป็นที่มาของทริปนี้

พอมาถึงจงลี่ก็ปาไปเกือบหกโมงแล้ว ก็เดินเล่นนิดหน่อย ที่เมืองนี้มีแรงงานต่างชาติพอสมควรเลย ผมได้ยินคนพูดภาษาไทย และภาษาอินโดเยอะมาก ที่นี่ห่างจากสถานีรถไฟนิดหน่อยก็มีร้านอาหารไทย มีร้านขายสินค้าของไทยด้วย


หน้าสถานีรถไฟจงลี่ ขณะนี้อาคารสถานีใหม่กำลังก่อสร้าง อยู่ข้างๆกับอาคารเดิม ดูเหมือนว่าอาคารสถานีใหม่นั้นใกล้จะเสร็จแล้ว

ส่วนขากลับก็เหมือนเดิมครับ นั่งรถบัสกลับ กว่าจะถึงห้องก็ปาไปสองทุ่มกว่า ดูภูเขาดูตึกเพลินเลย แล้วก็ทริปนี้ไม่เจอฝน เจอแดดล้วนๆ 

สำหรับผม ความสวยงามของปลายทางไม่สำคัญเท่าบรรยากาศระหว่างทาง

ถ้าไม่ขี้เกียจ จะพยายามหาเรื่องมาเขียนเรื่อยๆนะครับ ที่ห่างหายไปนานเพราะความขี้เกียจล้วนๆ 55555




วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เข้าร้านตัดผมที่ไต้หวัน จะเอาชาหรือกาแฟดี ว้อททททท???

วันนี้ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ใช้บริการร้านตัดผมในต่างประเทศ นั่นก็คือประเทศไต้หวันนั่นเอง อย่างที่รู้ๆกันว่าผมมาเรียนภาษาจีนที่นี่ย่างเข้าเดือนที่สอง แต่มาอยู่ที่นี่ได้สามเดือนแล้ว แน่นอนว่าผมก็เริ่มยาว แล้วก็เริ่มรำคาญอยากจะตัดผมสุดๆ แต่ๆๆๆ จะไปตัดก็ไม่กล้าเพราะทักษะภาษาจีนยังอ่อนปวกเปียก เอาจริงๆจนถึงตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าคำว่าตัดผมภาษาจีนเขาพูดว่ายังไง 55555 แล้วมันไปตัดผมได้ไง เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังกัน

ก่อนอื่นเล่าให้ฟังก่อนว่าร้านนี้เป็นร้านตัดผมที่อยู่ไม่ไกลจากที่พัก คืออยู่ที่นครนิวไทเป ผมรู้จักร้านนี้เพราะเวลาปั่นจักรยานไปออกกำลังกายก็จะผ่านร้านนี้ประจำ ก็เห็นมาตลอด

หลังจากตัดสินใจว่าจะเข้าร้านตัดผม สิ่งแรกที่ทำคือเปิดกูเกิ้ลหารูปทรงผมรองทรงสั้นก่อนเลย ก็ได้รูปมาหนึ่งรูป ว่าแล้วก็เดินเข้าไปในร้านด้วยความมั่นใจประมาณ 50% เมื่อเข้ามาในร้าน เจอแก๊งคุณป้าสามสี่คน กับคุณลุงคุณน้าที่เป็นลูกค้านั่งตัดผมอยู่ อย่างแรกที่สะดุดตาคือร้านตัดผมชายที่นี่ ช่างตัดผมทั้งหมดเป็นคุณป้า ตอนอยู่เมืองไทยชินแต่ช่างตัดผมชาย เลยรู้สึกไม่ชิน พอเข้าร้าน หนึ่งในแก๊งคุณป้าก็เดินเข้ามา ผมก็เปิดมือถือพร้อมบอกด้วยภาษาจีนง่อยๆว่า

"หว่อ เย้า เจ้อ เกอะ , เขอหยี่ มา?" (อยากได้แบบนี้อ่ะ ทำได้มั้ยครับ?)
"เขอหยี่ ๆ" (ได้ๆ) ป้าตอบ

โอเค เอาเป็นว่า ได้ตัดแล้ว ด่านต่อมา คุณป้าก็พูดอะไรก็ไม่รู้ แต่ดูจากการทำมือ อารมณ์น่าจะประมาณ เอาสั้นๆเลยใช่มั้ย

"ตุ้ยๆ" (ใช่ๆ) ผมตอบ ตอบแบบที่ตัวเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง 5555

หลังจากนั้นหนึ่งในแก๊งป้า (ไม่ใช่คนที่ตัดผมให้) ก็ถามว่า

"ฉา หายชื่อ คาเฟย" (จะเอาชาหรือกาแฟ)

หาาาาาา ทำไมมันมีชากาแฟวะ งงจริงๆ ตัดผมที่เมืองไทยไม่เคยมีชากาแฟนะ แต่ก็ตอบแบบงงๆว่า

"คาเฟย"

ตอนนั้นสมงสมองไปหมดแล้ว มึนตึ๊บ แล้วก็มาคิดว่า เฮ้ยยยย นี่กุต้องลุ้นตอบคำถามคุณป้าอีกกี่คำถามวะเนี่ย จะหลับแบบตอนไปตัดผมที่บ้านเราดีมั้ยน้อ แต่ขณะที่กำลังคิดๆไปนั้น

คุณป้าก็จัดการสระผมให้ทันที

เฮ้ยยยยยย รอบสอง มีสระผมด้วยเหรอ ร้านตัดผมชายที่ไทยไม่มีสระผมนะ ถ้าสระต้องรีเควสและสระหลังตัด ไม่ใช่สระก่อนตัด

เอาแล้วไง จะมาไม้ไหนเนี่ยป้า

พอสระเสร็จ ป้าก็เดินออกไป แล้วแกก็พูดประมาณว่า ให้เดินตามแกไป คือพอเข้าใจแหละ แต่ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกมั้ย หลังจากนั่งงงบนเก้าอี้ตัดผม ป้าอีกคนก็บอกว่า "เช่อโส่วๆ" (ห้องน้ำๆ) โอเคๆ เดินตามป้าไปแหละถูกแล้ว ที่หน้าห้องน้ำในร้านตัดผมจะมีอ่างน้ำพร้อมฝักบัว เราก็นั่งตรงหน้าอ่างน้ำ ก้มหัวลง ป้าจะให้ผ้าร้อน(ที่เมืองไทยให้ผ้าอุ่นที่นี่ให้ผ้าร้อน) 1 ผืนมาเช็ด ป้าแกจะเปิดฝักบัว รอจนน้ำอุ่นกำลังพอดี จากนั้นก็ล้างน้ำยาให้จนเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่เก้าอี้ตัดผม

ก่อนจะกลับมานั่งผมเลยรีบออกตัวก่อน
"หว่อ ปู๋ ชื่อ ไถวาน เหริน อา , โสวหยี่ เซี่ยนไจ้ หว่อ ปู๋ ฮุ่ย ชัว จงเหวิน" (ผมไม่ใช่คนไต้หวันนะ ตอนนี้เลยยังพูดจีนไม่แข็ง)
ป้าแกเข้าใจครับ แกก็ถามว่า " โอ้วววว หนี่ ชื่อ หน่า กั๋ว เหริน" (คนที่ไหนเหรอ)
"หว่อ ชื่อ ไท่กั๋ว เหริน" (คนไทยครับ) ผมตอบไป

หลังจากกลับมานั่งที่เก้าอี้ ก่อนที่ป้าแกจะตัดผม ป้าแกไปชงกาแฟมาให้ โอเคตอนนี้เข้าใจละว่าทำไมถึงถามว่าจะเอาชาหรือกาแฟ แล้วพอหันไปดูลุงๆที่มาตัดผมก็เห็นว่าที่โต๊ะหน้าคุณลุงมีแก้วชาแก้วกาแฟตั้งหน้าคุณลุงทุกคน

แสดงว่าร้านตัดผมชายที่นี่มีเสิร์ฟเครื่องดื่มร้อน

แต่ยังไม่ได้กินนะ เพราะป้าแกลงมือตัดผมก่อน ก่อนป้าแกจะลงมือตัด คุณป้าขอดูรูปที่มือถืออีกรอบ แล้วลงมือตัด ความมั่นใจตอนนี้กลับมา 60% แล้ว ตอนตัดก็ตัดปกติ แต่ปัตตาเลี่ยนดูเหมือนจะไม่ค่อยคมเท่าไหร่ ดึงผมหลายครั้งอยู่ ดึงผมทีก็สะเดิดที 55555 พอตัดเสร็จ แกก็ถามว่าจะโกนหนวดมั้ย เข้าใจคำถามเพราะแกทำมือไปด้วย ก็เลยตอบว่าเอา ระหว่างนี้ก็รอครับ แกบอกดื่มกาแฟรอได้นะ เออ...ลืมไปเลยว่ามีกาแฟอยู่ข้างหน้า 5555 ก็ดื่มรอแกไป ปรากฎว่าแกมาอีกรอบพร้อมผ้าร้อน(โคตรร้อน) เช็ดผมเช็ดหัว เช็ดคอ ระหว่างเช็ดป้าแกก็สับหัวสับคอสับบ่าให้ด้วย เออ...อันนี้ดี

แล้วก็สระผมอีกรอบ นี่มีสระหลังตัดอีกนะ หลังจากสระผมรอบสองเสร็จ คราวนี้รู้งานละ เลยเดินตามแกไปล้างหัวที่อ่างน้ำ ล้างน้ำเสร็จ เดินกลับมาที่เก้าอี้ คราวนี้แกปรับเก้าอี้เป็นแนวนอน แล้วก็ใช้มีดโกนโกนหน้า โกนหนวด กันเครา ก็ปกติอ่ะนะ อันนี้ช่างตัดผมเมืองไทยก็ทำ

"ห่าว เหลอะ" (เสร็จแล้ว) ป้าแกบอกพร้อมเอาผ้าออก
"จี่ ไคว้ อา" (กี่บาทน้อ) ผมถาม
"ซาน ป่าย ไคว้" (สามร้อยบาท) ป้าตอบ
โอ้ววววว ราคาใช้ได้อยู่นะ ผมคิด เคยแต่ตัดแถวบ้านร้อยบาท มาที่นี่สามร้อยเลยเหรอ ขณะกำลังลุกจากเก้าอี้จะไปเอาเงินมาจ่าย ป้าแกก็บอกว่า

"เติ้ง หยี่ เซี่ยๆ" (แป๊ปนึงๆ)

ยังครับ ขั้นตอนยังไม่จบ อันนี้กินเวลามาเกือบชั่วโมงแล้วนะ ปรากฎว่าป้าแก สับหลัง สับคอ นวดบ่าอีกรอบครับ คือเซอร์วิสดีเหลือเชื่อจริงๆ จากนั้นก็เรียบร้อย พอดูในกระจก เฮ้ยยยย โอเคเลย ตอนนี้ความมั่นใจมา 100% แล้ว

ผมจ่ายเงินไปสามร้อยหยวน ป้าแกเชื้อเชิญให้ผมหยิบขนมที่อยู่ในตะกร้าตรงโต๊ะคิดเงิน ผมบอกป้าแกว่าไม่เป็นไรครับ เพราะไม่ค่อยกินขนมพวกนี้อยู่แล้ว ป้าแกก็คะยั้นคะยอ ผมก็เลยหยิบมาถุงนึง หลังจากนั้นแกทอนมาให้ผม 50 หยวน โอ้วววว ป้าใจดีมากเลย แล้วแกก็ให้ขนมอีก 2 ถุง คือ ป้าๆบริการดีมาก กลายเป็นว่าไม่ได้จ่าย 300 หยวน จ่ายแค่ 250 หยวน แต่ได้ขนมกลับบ้านอีก 3 ถุง (ไม่ใช่ถุงใหญ่นะ ถุงเล็กๆ พวกลูกอม เวเฟอร์ ถั่วตัดพวกนี้)

ข้อสังเกตของผม ร้านตัดผมร้านนี้ กวาดร้านบ่อยมาก ซึ่งผมไม่เคยเจอที่ร้านตัดผมที่ผมเคยตัดประจำ ที่นี่คือพอทิ้งช่วงหน่อยป้าอีกคนแกกวาดละ ร้านเลยสะอาดตลอดเวลา

พอทุกอย่างเรียบร้อย
"เซี่ย ๆ" (ขอบคุณนะ) ป้าพูด
"เหิน ห่าวๆ , เซี่ยๆ" (ดีมากเลยครับ ขอบคุณมากครับ ดีมากนี่หมายถึงทรงผมนะ)
"เซี่ย ๆ" บรรดาป้าๆคนอื่นๆในร้านพูดอีกรอบ
ที่นี่ การพูดเซี่ยๆเวลาไปร้านนั้นร้านนี้ ซื้อของโน่นนี่นั่นเป็นเรื่องปกตินะครับ

ตอนแรกก็คิดว่า 250 นี่แพงนะ เพราะไม่เคยจ่ายค่าตัดผมเยอะขนาดนี้ แต่พอมาคิดๆดูแล้ว 250 ได้สระผมสองรอบ นวดและสับอีกสองรอบ กาแฟร้อน และขนม บวกความบริการจากป้าๆอีก

อืมมมมม....คุ้มแล้วล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

นั่งรถเมล์ไปคริสมาสแลนด์...ไหนว่าสวยไง!!!

ผมเรียนภาษาจีนที่ซือต้ามาได้เกือบเดือนแล้ว ทักษะก็ถือว่าก้าวหน้าอยู่นะ แต่ความก้าวหน้าของผมกับของคนอื่นอาจจะยึดต่างกันก็ได้ ของผมแค่อ่านตัวจีนได้เพิ่มนิดนึง หรือแค่เข้าใจประโยคเพิ่มนิดนึงก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว เพราะผมเทียบว่าจากศูนย์ จากไม่รู้อะไรเลยแต่เรารู้มากกว่าเดิมก็ถือว่าก้าวหน้าแล้ว

เดือนธันวาคมถือเป็นเดือนของการเฉลิมฉลอง เพราะมีสองเทศกาลอยู่ในเดือนเดียวกัน คือคริสมาส และปีใหม่ คราวนี้ที่ไปที่มาของการไปที่นี่คือ เหล่าซือถามบรรดานักเรียนว่า คริสมาสไปเที่ยวที่ไหน พวกแก๊งเด็กเวียดนามก็ตอบว่าไปที่ปันเฉียว มีเทศกาลคริสมาส สวยงามมาก คนเยอะนู่นนี่นั่น เหล่าซือก็เสริม บอกเออ...ใช่ ที่ปันเฉียวมีเทศกาสคริสมาส มีต้นคริสมาสใหญ่ๆน่าลองไปดูนะ 

ส่วนผมคริสมาสไปไหนนั่นเหรอ ไม่ได้ไปไหนเลย เพราะไปเรียนกลับมาก็ครึ่งวันแล้ว ตอนเย็นไปปั่นจักรยานอีก กลับมามาคัดจีนอ่านหนังสืออีก ไม่ได้ไปไหนหรอก แต่วันนี้(วันที่ 27 ธันวาคม)เป็นวันศุกร์ หลังเคลียร์งานเหล่าซือและคัดจีนเสร็จก็คิดถึงการไซโคของเหล่าซือและแก๊งเด็กเวียดนาม แล้วก็นึกได้ว่าไอ้ปันเฉียวเนี่ยเราเห็นบ่อยๆจากป้ายบนรถเมล์ งี้เราก็นั่งจากบ้านไปที่ปันเฉียวได้เลยอ่ะดิ ไม่ต้องไปนั่งรถไฟฟ้า 

คิดได้แบบนั้นก็เลยตัดสินใจ เอาวะ....ไปก็ไป อย่างน้อยก็ถือว่าได้นั่งรถเมล์เที่ยว


เริ่มจากป้ายรถเมล์หน้าบ้านเลย บ้านผมถือว่าทำเลดีมาก นอกจากใกล้ที่จอดจักรยาน Ubike แล้ว เดินมานิดเดียวก็เจอป้ายรถเมล์อีก ตัวป้ายรถเมล์จะมีบอกว่ารถเมล์สายไหนผ่านบ้าง ด้วยความที่ที่นี่ไม่ใช่ถนนใหญ่ รถเมล์เลยผ่านอยู่ไม่กี่สาย หนึ่งในนั้นคือสาย 264 หลู่โจว-ปันเฉียว


นอกจากบอกว่าสายไหนผ่านบ้าง ทุกป้ายรถเมล์ในไต้หวันจะมีป้ายที่บอกว่าแต่ละสายนั้นจอดที่ไหนบ้าง เป็นป้ายกลมๆให้เราหมุนอ่านแบบนี้ โดยป้ายนี้ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาจีน มีภาษาอังกฤษเฉพาะป้ายที่สำคัญๆเท่านั้น เช่นป้ายรถเมล์ที่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าเป็นต้น


ด้วยการเรียนภาษาจีนมาเกือบเดือน ทำให้ผมพออ่านตัวจีนออก แล้วพอรู้ว่าจะไปที่ไหน(ขอบคุณซือต้ามากครับ) เรียนมาเกือบเดือนก็สามารถอ่านป้ายรถเมล์ออกได้ แต่ไม่ทุกตัวนะ พอดูได้คร่าวๆ อย่างที่นิ้วผมชี้ เราจะลงป้าย "ปันเฉียวเชอจ้าน" กัน



นี่บรรยากาศแถวที่พักครับ ตรงนี้คือถนนหมินจู แถวนี้มีตึกแถวร้านค้าเยอะมากๆ ส่วนชั้นบนก็เป็นที่พักอาศัย


รออยู่สักพักรถเมล์สาย 264 ก็มา



ภายในรถเมล์ รถเมล์ไทเปต้องแตะบัตรทั้งขึ้นและลงนะครับ แต่ไม่จำเป็นว่าต้องขึ้นประตูหน้าลงประตูหลังแบบสิงคโปร์ ที่นี่ขึ้นประตูไหนก็ได้ แต่ถ้าไม่มีบัตรก็ไปหยอดเหรียญที่ข้างคนขับ ที่กรุงเทพพยายามจะใช้ระบบนี้แต่ล้มเหลว แล้วอ้างว่ากว่าจะแตะบัตรกว่าจะหยอดเหรียญ เสียเวลา ใช้เวลานานต้องต่อคิว แต่ทำไมที่อื่นเขาทำได้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน พอมาบ้านเราเออ...ทำไม่ได้แฮะ ต้องใช้กระเป๋ารถเมล์เหมือนเดิม ผมว่าไอเดียของผู้บริหารขสมก.เรื่องลดกระเป๋ารถเมล์ แล้วใช้ระบบหยอดเหรียญแตะบัตรแบบนี้ดีนะ(เฉพาะเรื่องนี้) แต่คนต้องปรับตัว แต่วิสัยของคนไทย(บางส่วน) ไม่ยอมปรับตัว แถมด่าอีก ก็จมกับระบบรถเมล์ห่วยๆแบบนี้ต่อไปแล้วกัน


รถเมล์ที่ไทเปและนิวไทเปบางคันจะมีจอแบบนี้คอยบอกครับว่าป้ายรถเมล์แต่ละป้ายจะใช้เวลากี่นาที แต่ที่มีทุกคันคือเสียงประกาศในรถเมล์ว่าป้ายหน้าคือป้ายไหน อันนี้ก็ดีมากๆ แต่ป้ายนี้ไม่มีภาษาอังกฤษนะครับ จีนล้วนๆ


สะพานข้ามฝั่งจากไทเปข้ามฝั่งไปยังนิวไทเป


หลังจากนั่งรถมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ป้ายรถเมล์นี้คือป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟปันเฉียว เราต้องเดินข้ามถนนไปอีกทีหนึ่ง


ก่อนข้ามถนนขอแวะเซเว่นก่อน หิวน้ำมากกกกกก


ระหว่างที่เดินข้ามถนนมองไปแล้วก็รู้สึกว่า เออ...บ้านเมืองมันสวยดีนะ ถนนก็โล่ง ดูสะอาดสะอ้าน ตึกรามบ้านช่องก็ดูสวยงามไปหมด


ข้ามถนนมาก็เจอนี่ก่อนเลยครับ สวนสาธารณะหน้าสถานีรถไฟ ตรงนี้ก็มีการจัดกิจกรรมคริสมาสเหมือนกัน ตึกที่เห็นนี่ด้านล่างคือสถานีรถไฟปันเฉียวเป็นทั้งสถานีรถไฟ สถานีรถไฟความเร็วสูง และสถานีรถไฟฟ้าในอาคารเดียวกัน ถือเป็นสถานีใหญ่สถานีหนึ่งเลย




นอกจากมีต้นคริสมาสแล้วก็มีที่ให้เด็กๆมาปีนป่ายเล่น แล้วก็มีร้านค้ามาเปิดบูทกัน


เดินเลาะๆมาที่สถานีรถไฟปันเฉียว

ระหว่างที่เดินจากสถานีรถไฟไปที่คริสมาสแลนด์ ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้เลย เพราะมัวแต่ดูแผนที่อยู่ ตานี่ก้มมองกูเกิ้ลแมพแทบจะตลอด เพราะไม่เคยมาแถวนี้เลย ระหว่างทาง ด้วยความที่แถวนี้รถเยอะมาก เยอะกว่าในตัวกรุงไทเปอีก ระหว่างทางม้าลายก็จะมีตำรวจมาคอยอำนวยความสะดวก คอยกันรถให้อะไรประมาณนั้น ผมเห็นตำรวจถี่มาก แถวหลู่โจวที่ผมอยู่นี่แทบไม่เจอตำรวจเลย 55555




พอใกล้จะถึง"คริสมาสแลนด์" ก็เริ่มเห็นกระประดับไฟที่หนาตาขึ้น


ในที่สุดก็มาถึงแล้ว เอาจริงๆผิดจากที่ผมคาดไว้มากกกก คงเพราะผมหาข้อมูลไม่ดีพอเอง คือตอนแรกเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นห้าง หรือลานกิจกรรมซักอย่าง แต่ปรากฎว่า ตรงที่ตั้งนี้คือ"ศาลากลางนครนิวไทเป" พอเห็นคนอื่นเดินเข้าไปก็เลยเดินงงๆเข้าไปกับเขาด้วย


ตัวอาคารศาลากลาง


เข้ามาจะเจอจุดถ่ายรูปก่อนเลย โซนนี้เด็กๆจะชอบเป็นพิเศษ นอกจากนี้โดยรอบก็มีนิทรรศการอีกนิดหน่อย ซึ่งผมเห็นว่าไม่น่าสนใจเลยไม่ได้ถ่ายรูปมา


ขณะที่กำลังงงๆว่าไอ้คริสมาสแลนด์เนี่ยมันมีอะไร ก็ลองเดินมาเรื่อยๆจนพบว่ามันเป็นทางเดินมาที่ลานกว้างหลังสำนักงาน เมื่อเข้ามาก็เห็นว่า มีการประดับไฟ มีการออกร้านค้า แล้วก็มีเครื่องเล่นนิดหน่อย


ห้าโมงเย็นที่นี่คือพระอาทิตย์ตกแล้ว เริ่มมืดแล้ว



เด็กๆและพ่อแม่ พากันต่อคิวรอเล่นเครื่องเล่น


ม้าหมุนก็มา



ตรงนี้คือบูธร้านค้า ร้านค้าที่มาออกบูธมีไม่ค่อยเยอะเลย เท่าที่เห็นก็พวกเสื้อผ้าสองสามร้าน มีร้านขายไข่ไก่ แล้วก็ร้านขายพวกสินค้าอุปโภคเช่น สบู่ แชมพู ร้านหนังสือ ร้านของเล่นนิดหน่อย แล้วดูเงียบเหงามาก อาจจะเป็นเพราะผมมาหลังวันคริสมาสไปแล้วก็ได้ สำหรับผมมันดูเฉยๆมากกกกก

หลังจากเดินเล่นนั่งเล่นรอจนมืดค่ำ เดาว่าน่าจะเป็นไฮไลท์ของงานคือมีการยิงภาพไปที่ตึกศาลากลาง กับต้นคริสมาสเปลี่ยนสี




ต้นคริสมาสเปลี่ยนเป็นรูปภาพต่างๆ




เดินๆเล่นเห็นกระป๋องมันดูสวยดี เลยลองซื้อมาหนึ่งกระป๋อง กระป๋องนี้กินๆไปนี่มันแฟนต้าดีๆนี่เอง

หลังจากเดินเล่นอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงก็เดินกลับไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าสถานีปันเฉียว





ระหว่างเดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์ พอมาถึงป้ายรถเมล์ ผมรอรถสายเดิม 264 กะว่าจะนั่งกลับ พอรถเมล์มาถึงก็ขึ้นรถไปตามปกติ


คนในรถค่อนข้างเยอะ ผมยืนเกือบตลอดทาง ปรากฎว่า รถสาย 264 ขาไปมันผ่านป้ายรถเมล์หน้าบ้าน แต่ขากลับมันไม่ผ่าน รถอ้อมข้ามซอยบ้านผมไปซะแบบนั้น โผล่อีกทีตรงหน้าสถานีรถไฟฟ้าหลู่โจว สถานีสุดสายสีเหลือง ผมเลยลงรถที่นั่น แล้วปั่นจักรยาน Ubike จากที่นั่นกลับห้องแทน ถือว่ายังดีที่แถวนั้นมีจักรยาน ถ้าไม่มีจักรยาน ผมเดินกลับไกลแน่ๆ ถือว่าเป็นการนั่งรถเมล์เล่นที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ส่วนคริสมาสแลนด์ผมว่าแถวเซ็นทรัลเวิลด์บ้านเรานี่ยังดูดีกว่าอีกนะ