วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

บันทึก : 1 ปี 10 เดือนที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป





ผมเริ่มงานที่บลูสกายแชนแนล เป็นที่ทำงานที่ผมมีรายได้เป็นที่แรก หลายสิ่งหลายอย่างยังจดจำเหมือนกับเหตุการณ์มันเพิ่งผ่านไปไม่นาน

19 กันยายน 2560 

วันแรกที่ผมเข้ามาทดลองงานในตำแหน่งช่างภาพสตูดิโอ รายการแรกที่ถ่ายคือรายการลูกอีสาน ของจ่าพงศ์ สารคาม ด้วยความอยากทำงาน ผมทดลองงานอยู่ 7 วัน ทำฟรี ไม่ได้เงินเดือน จนได้รับบรรจุเป็นพนักงานของบริษัทในเวลาต่อมา

เมื่อเริ่มงานระยะแรก ด้วยสิ่งแวดล้อมใหม่ เพื่อนร่วมงานใหม่ บรรยากาศใหม่ ทำให้ผมมีปัญหามาก ทำตัวไม่ถูก สิ่งที่ไม่คิดว่าจะพลาดก็พลาด สิ่งที่ไม่น่าจะมีปัญหาก็มี ถูกสวิชชิ่งว่าก็หลายครั้ง ถูกโปรดิวเซอร์ตำหนิก็บ่อย จนมีพี่คนหนึ่งถึงกับบอกว่า​ “พัฒนาตัวเองหน่อยนะ” คำนี้สำหรับผมฟังแล้วมันจี๊ดมาก ผมกลายเป็นคนที่ดูเหมือนกับว่าทำงานไม่เป็น ทำงานไม่เก่ง ทั้งๆที่ตอนอยู่วัดผมไม่เคยปัญหา แรกๆผมคิดทบทวนตัวเองตลอดว่าเราเหมาะกับงานนี้มั้ย ทำไมโดนว่าบ่อยๆ หลายอย่างผมไม่เคยทำก็ได้มาทำที่นี่ เช่น การจัดไฟ ผมเริ่มจากศูนย์ ดูแนวไฟไม่เป็น ส่องไหล่ ส่องหลัง ส่องหน้า ผมไม่รู้เรื่องเลย ก็พยายามทำ ตอนนั้นพยายามอย่างมากในการพัฒนาตัวเอง ว่างๆต้องจับกล้อง ลองแพน ลองซูม จนผ่านมาได้ซักพัก ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง 

1 มกราคม 2561

เนื่องด้วยมีพี่ที่ทำเสียงลาออก ผมขอย้ายมาทำงานเสียง เพราะอยากให้เพื่อนของพี่ช่างภาพได้เข้าทำงาน การทำงานเสียงสำหรับผมก็ไม่ต่างจากตอนเริ่มเป็นช่างภาพ เราไม่รู้ว่าระดับเสียงของที่นี่ขึ้นยังไง การปรับเกน ปรับอีคิวก็ต่างจากที่เคยทำ เมื่อผมมาทำ ผมเปลี่ยนวิธีการปรับเกนซึ่งที่นี่ใช้อยู่ มาเป็นการปรับเกน ปรับอีคิวแบบที่ผมได้เรียนมาเมื่อตอนอยู่วัด ปรากฎว่าเสียงดีขึ้น และช่วยหาซื้ออุปกรณ์หูฟังสำหรับพิธีกรที่มักเป็นปัญหา หลายอย่างผมใช้เงินส่วนตัวสำรองจ่าย ก็คิดว่าช่วยในการอำนวยความสะดวกการทำงานของตัวเอง

ผมทำงานอยู่ที่นี่ ผมมีเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก ในทีมงานที่ทำงานแทบไม่มีปัญหาอะไรกันเลย คุยกันถูกคอ เฮฮา ไม่เคร่งเครียด พี่ๆทุกคนเป็นเอง ทำให้งานที่บางวันก็เหนื่อย เวลากินข้าวเวลาพักแทบไม่มี ให้พอบรรเทาลงไปบ้าง ผมไม่ใช่คนที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่ก็มักจะมาอยู่กับทีมงานแทบทุกครั้ง มีความสุขเวลาได้มาทำงาน ผมพยายามมาตรงเวลา ลาน้อยๆ หรือไม่ก็จ้างพรรคพวกทำแทน ซึ่งก็จ่ายให้สูงกว่าค่าโอทีที่บริษัทจ่าย

เวลาผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณว่ารายได้ของบริษัทเริ่มมีปัญหา สวัสดิการต่างๆถูกลดเป็นลำดับ เมื่อก่อนเคยได้ค่าข้าวรายวันก็ไม่ได้ เคยมีประกันสุขภาพก็ไม่มี เงินเดือนจากได้แต่เช้าตรู่ก็เริ่มขยับเวลามาเรื่อย จากเช้าไปเที่ยง จากเที่ยงไปบ่าย จากบ่ายไปเย็น จากเย็นเลื่อนมาเป็นอาทิตย์ กระทั่งเดือนกรกฎาคม เมื่อผู้บริหารบอกกับพนักงานว่าจะปรับโครงสร้างองค์กร ผมเองตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะอยู่ต่อแล้วรอบริษัทคัดเลือก เห็นพี่ๆหลายคนยังอยู่เราก็ไม่อยากไปไหน แต่เมื่อนานเข้าเห็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของผู้บริหาร เริ่มรู้สึกว่าถ้าทำไปแบบไม่รู้ทิศทางไม่รู้อนาคตอยู่ไปก็มีแต่ความกังวล ประกอบกับมีแผนการในอนาคตที่วางไว้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เลยตัดสินใจขอประสงค์ออกเพื่อรับเงินชดเชย

16 กรกฎาคม 2562

ผมคิดหนักมาก เพราะทุกคนตัดสินใจอยู่ต่อ ส่วนใหญ่รอดูท่าทีว่าบริษัทจะเอาอย่างไร ผมชั่งใจหลายครั้ง แม้ว่าจะปรึกษาป๊าปรึกษาแม่แต่สุดท้ายการตัดสินใจต้องขึ้นกับตัวผมเอง สุดท้ายผมเดินไปที่ห้องพี่หนิง ซึ่งเป็นผู้ที่รวบรวมรายชื่อพนักงานที่ประสงค์จะออก และตัดสินใจลงชื่อ ตอนลงชื่อมือมันไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก แต่ก็ใจหาย ใจหายที่เราเลือกที่จะทิ้งพี่ๆที่เคยร่วมงานกันมา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ใจผมอยากทำงานให้ครบซักสามปีแล้วค่อยว่ากันแต่เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ มันก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่กับปัจจุบัน และผมก็คิดถูกที่ลาออก เมื่อวันสุดท้ายของเดือน ฝ่ายเทคนิคมีแผน “จิ้มคนออก” ตำแหน่งที่ผมทำถูกควบกับตำแหน่งซืจี (พนักงานขึ้นตัวหนังสือ) ถ้าผมยังอยู่ ผมก็ต้องฟาดฟันกับคนที่ทำตำแหน่งซีจี ต้องมีคนถูกเขี่ยออกมากขึ้น การถอยออกมาอย่างน้อยมันก็พอที่จะทำให้ตัวหารในการคัดคนออกนั้นน้อยลง

1 สิงหาคม 2562

หลังจากวันนี้ ผมไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทบลูสกายแชนแนลอีกต่อไปแล้ว หลายอย่างเหลือแต่เพียงความทรงจำ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไม่แยกทางกันวันนี้ วันหน้าก็ต้องแยกย้ายกันอยู่ดี ผมจะไม่ลืมประการณ์ดีๆจากที่นี่ ความเป็นกันเองของเพื่อนร่วมงาน โอกาสจากหัวหน้า บรรยากาศเหล่านี้ผมจะไม่มีวันลืม

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณ

1. เกอร์ คนที่ให้โอกาสผมได้มาทำงานที่นี่ เพราะเกอร์ลาออกจากบลูสกายแล้วเสนอชื่อผมให้หัวหน้าเรียกผมไปสัมภาษณ์งาน

2. พี่อำนวย หัวหน้าฝ่ายเทคนิค ที่รับผมเข้าทำงานแล้วให้โอกาสผมในหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อผมต้องหายตัวไปช่วยงานวัด แม้จะมีปัญหาบ้างแต่สุดท้ายก็จบด้วยดีเสมอ

3. พี่อี๊ด ช่างภาพสตูดิโอ ในวันแรกๆที่ผมมีปัญหา ผมขอให้พี่อี๊ดช่วย แล้วพี่อี๊ดก็ช่วยจริงๆ พี่อี๊ดเก่งมากเพราะมีประสบการณ์ถ่ายรายการมามาก พี่อี๊ดช่วยสอนผมหลายอย่าง ที่ผมไม่ลืมคือการใช้ซูมแบบวงแหวน ทำให้ผมใช้ได้จนคล่อง

4. พี่ยอด สวิชเชอร์ แรกๆโดนพี่ยอดว่าบ่อยมาก โดนจนกลัว แต่พอทุกอย่างเข้าที่ก็เปลี่ยนไป รู้สึกดีที่ได้มาอยู่ในทีมพี่ยอด เห็นถึงการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ มุมมองต่างๆ เรื่องไฟก็ได้มาจากพี่ยอดเยอะอยู่

5. พี่แบงค์ ซีจี แรกๆรู้สึกว่าผมกับพี่แบงค์คงเคมีไม่เข้ากัน ทำอะไรก็ดูขัดตาไปหมด แต่พอได้อยู่ด้วยกันเรื่อยๆ พี่แบงค์กลับเป็นคนที่ผมกวนตีนแกเยอะสุด ชงมุกส่งมุกแทบทุกนาทีเป็นว่าเล่น ถ่ายคลิปอัพเฟซบุ๊ค และอีกสารพัด 

6. คิว, ธีระ, โซ่ เด็กวัดที่มาทำงานก่อนหน้าผม หลายอย่างก็ได้สามคนนี้ช่วย ที่สำคัญทำให้รู้สึกว่าทำงานที่นี่ก็ไม่ต่างจากทำงานที่วัดเท่าไหร่

7. ทีมงานสตูดิโอที่เหลือทุกคน เป็นกันเองมากๆ

และพี่ๆเอ็มซีอาร์ พี่ๆพิธีกร พี่ๆน้องๆโปรดิวเซอร์ พี่ๆน้องๆตัดต่อ ยันพี่แม่บ้าน ทุกคนครับ

“เจอกันเมื่อเราเจอกัน”

31 กรกฎาคม 2562 เวลาเกือบเที่ยงคืน